Airbnb กับความเสี่ยง (การก่อการร้าย): หรือภัยคุกคามธุรกิจไทย ?
ที่มา:https://www.thansettakij.com/content/business/416255?utm_source=homepage_hilight&utm_medium=internal_referral
การขยายตัวของธุรกิจแบบเศรษฐกิจแบ่งปัน (sharing economy)[1] โดยเฉพาะ Airbnb[2] ในไทย ซึ่งให้บริการที่พักหลายรูปแบบ (บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ อาคารพาณิชย์ อพาร์ทเมนท์ และอาคารชุด) โดยเจ้าของนำสินทรัพย์มาเสนอปล่อยเช่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆในระบบ Airbnb ซึ่งคิดค่าธรรมเนียมในการดำเนินงานผ่าน Application บนอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ทำให้นักท่องเที่ยวมีทางเลือกมากขึ้นในการหาที่พักจากเดิมที่ต้องจองห้องพักของโรงแรม หรือเกสต์เฮาส์ บริการห้องพักของ Airbnb ในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในกันยายน 2016 มีที่พักให้เช่าในกรุงเทพฯประมาณ 8,900 แห่ง เพิ่มขึ้นจาก 4,600 แห่งในปลายปี 2015 และช่วง 7 เดือนแรกของปี 2016ครึ่งหนึ่งของที่พักเหล่านี้มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเดือนละมากกว่าร้อยละ 60
การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนห้องพักที่เข้าร่วมกับ Airbnb ทำให้เกิดการแย่งลูกค้าโรงแรมที่จดทะเบียนและเสียภาษีให้รัฐอย่างถูกต้อง (เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าร่วมกับ Airbnb ส่วนใหญ่ไม่เสียภาษีและไม่ได้จดทะเบียนธุรกิจโรงแรมตามกฎหมาย) กรณีที่เป็นปัญหาในปัจจุบันและมีแนวโน้มมากขึ้น คือ เจ้าของห้องชุดนำห้องชุดมาปล่อยเช่ารายวัน นอกจากเป็นการรบกวนเจ้าของห้องชุดอื่นๆที่อาศัยอยู่ในอาคารชุดเดียวกัน ยังเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้กับเจ้าของร่วมอื่นๆ เนื่องจากแขกผู้เข้าพักมักไม่ใส่ใจดูแลรักษาทรัพย์สินส่วนกลาง และอาจเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วลืมปิด และที่สำคัญ คือ มีความเสี่ยงจากการถูกใช้เป็นแหล่งซุกซ่อนอาวุธ สารเคมี หรือวัตถุระเบิดของผู้ก่อการร้ายในระหว่างที่พักอยู่หรือหลังจากสิ้นสุดการเช่าห้องพัก[3]
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โดยกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านสัญญา มีความเห็นเกี่ยวกับการนำห้องชุดมาปล่อยเช่ารายวันว่า อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายอย่างน้อย 2 ฉบับ คือ 1) พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 และ 2) พ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ.2478 สอดคล้องกับนายกสมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ซึ่งมีสมาชิกเป็นผู้รับจ้างบริหารนิติบุคคลอาคารชุดที่ระบุว่า นิติบุคคลอาคารชุดไม่สามารถห้ามเจ้าของห้องชุดนำห้องชุดมาปล่อยเช่าห้องรายวันได้ กรณีทรัพย์สินส่วนกลางเกิดความเสียหายจากการกระทำของแขกผู้เข้าพัก ทางนิติบุคคลก็จะเรียกเก็บค่าเสียหายและฟ้องหมิ่นประมาทกับเจ้าของห้องชุดดังกล่าว
นโยบายพัฒนาประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิตอลของรัฐบาลและการพัฒนาเทคโนโลยีสื่อสารแบบไร้พรมแดนในยุค 4G แม้มีส่วนช่วยทำให้ธุรกิจ startup ขยายตัวอย่างรวดเร็วและส่งผลด้านบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดความท้าทาย และอุปสรรคต่อการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเฝ้าระวังการก่อการร้าย ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุมและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง เพื่อรับมือภัยคุกคามแบบใหม่ในระยะต่อไป
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Airbnb ทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจโรงแรม โดยเฉพาะโรงแรมระดับกลาง-ล่าง แม้มีการออกกฎหมายควบคุมห้องพัก ซึ่งทําให้การขยายตัวของห้องพัก Airbnb ชะลอตัวลง ขณะเดียวกันจะทำให้ธุรกิจเข้ามาแข่งขันในตลาดโรงแรมได้อย่างเต็มตัว ปัจจุบันกลุ่มลูกค้า Airbnb ยังเป็นคนละกลุ่มกับนักท่องเที่ยวหลักที่เข้าพักโรงแรมในไทย ดังนั้น ธุรกิจโรงแรมในไทยจึงอาจจะยังไม่ได้รับผลกระทบจากการเข้ามาแย่งตลาดมากนัก อีกทั้งราคาโรงแรมในไทยที่ใกล้เคียงกับ Airbnb ทำให้นักท่องเที่ยวมีแนวโน้มที่จะเลือกพักในโรงแรมมากกว่า อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสที่ Airbnb จะเข้ามาเป็นคู่แข่งหลักกับตลาดโรงแรมในไทยในอนาคต เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนเริ่มหันมาใช้ Airbnb มากขึ้นกว่า 1 ล้านคน และการขยายตัวของห้องพัก Airbnb ในกรุงเทพฯกว่า ร้อยละ 100 ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมควรปรับกลยุทธ์เพื่อแข่งขันกับ Airbnb ในอนาคต ในส่วนของธุรกิจบริการอื่นๆ ก็สามารถใช้ Airbnb ในการต่อยอดธุรกิจปัจจุบันได้ นอกจากนี้ภาครัฐควรมีมาตรฐานที่ชัดเจนในการควบคุมธุรกิจ Airbnb ที่กําลังเติบโตอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้กระทบต่อการท่องเที่ยวโดยรวม[4]
สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหา กรณีเจ้าของห้องชุดนำห้องชุดมาปล่อยเช่ารายวัน ซึ่งผิดระเบียบข้อกฎหมายและส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรออกระเบียบกำหนดคุณสมบัติเจ้าของห้องชุดที่จะนำห้องชุดประกอบธุรกิจห้องเช่ารายวันดังนี้[5]
- อสังหาริมทรัพย์ที่นำมาปล่อยเช่ารายวันจะต้องเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ หรืออาคารพาณิชย์ที่ไม่อยู่ในโครงการที่มีทรัพย์สินส่วนกลางเท่านั้น
- ห้องชุดของอาคารชุดที่ปล่อยเช่าระยะยาวไม่สามารถนำมาปล่อยเช่ารายวันได้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความสงบสุขและความปลอดภัยของเจ้าของร่วมอื่นๆ
- การปล่อยเช่ารายวันจะทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตการประกอบธุรกิจโรงแรมจากทางการซึ่งเป็นกำหนดคุณสมบัติผู้ที่จะได้รับใบอนุญาตดังกล่าวอย่างเข้มงวด
ล่าสุดเมื่อ 6 ธันวาคม 2019 นายวิลเลี่ยม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ได้ส่งจดหมายถึง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมสำเนาถึงรัฐบาล[6] สรุปประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ Airbnb ว่า การที่ Airbnb ดำเนินกิจการให้เช่าที่อยู่อาศัยรายวันทั้งที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรม และไม่มีการปฏิบัติตามมาตรฐานด้านการป้องกันไฟไหม้ ความปลอดภัย รวมถึงมาตรการอื่นๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพักอาศัยเฉกเช่นเดียวกับผู้ประกอบการโรงแรมส่งผลให้เจ้าของร่วมและผู้ประกอบการโรงแรมเสียหายและเสียเปรียบ ทั้งนี้ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี สิงคโปร์และอีกหลายรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกกฏหมายบังคับใช้สำหรับควบคุมการดำเนินกิจการของ Airbnb แล้ว[7]
Airbnb คุกคามการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรม การให้เช่าที่อยู่อาศัยในลักษณะดังกล่าวโดยปราศจากการควบคุมที่เป็นระบบระเบียบจากทางภาครัฐ ถือเป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม สำหรับประเทศไทยนั้นก็ยังไม่มีมาตรการจากทางรัฐบาลในการปกป้องสาธารณประโยชน์ นักลงทุนในอุตสาหกรรมการโรงแรมและผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องความไม่ชัดเจนในการเสียภาษีของ Airbnb จากรายได้ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ขณะที่ผู้ประกอบการโรงแรมที่จดทะเบียนต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีการท่องเที่ยว ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของการท่องเที่ยวต่อไป แต่ Airbnb ก็ได้รับค่านายหน้าเมื่อมีการเช่าห้องพัก มีข้อสันนิษฐานจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึง สื่อ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และงานวิจัยการศึกษา ที่บ่งชี้ว่ากรมสรรพากรไม่มีการจัดเก็บภาษีจากนายหน้าเหล่านี้ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาของประเทศ
[1] ไม่ใช่เรื่องของการประชาสงเคราะห์ แต่เป็นการนำทรัพยากรส่วนเกินของบุคคลหนึ่งไปแบ่งให้อีกคนหนึ่งที่ต้องการเช่าใช้บริการ เชื่อมโยงด้วยเทคโนโลยีที่มีความสะดวก รวดเร็ว และสามารถให้บริการซ้ำๆ กับคนอื่นๆ ได้ หัวใจสำคัญคือความเชื่อมั่นและความปลอดภัยของผู้บริโภค ดร.ธัชพล กาญจนกุล, Sharing Economy : เศรษฐกิจแบ่งปัน โอกาสใหม่ของ Startup เมืองไทย, โพสต์ ทูเดย์ (6 กันยายน 2016)
[2] ธุรกิจ Startup ก่อตั้งเมื่อปี 2008 สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ ปัจจุบันมีเครือข่ายการให้บริการครอบคลุม 34,000 เมือง ใน 191 ประเทศ Airbnb มีเป้าหมายเชิงรุกการตลาดในกลุ่มประเทศ ASEAN โดยจัดตั้งสำนักงานประจำภูมิภาค (REGIONAL HEADQUARTER) แห่งใหม่ที่สิงคโปร์ และตั้งเป้าหมายจะมีห้องให้เช่าใน ASEAN จำนวน 2 ล้านหน่วย ทั้งนี้ ในปี 2558 ที่ผ่านมาย่านบางลำพู กรุงเทพฯมีอัตราการขยายตัวสูงอันดับ 2 ของการขยายตัวของ Airbnb ทั่วโลก
[3] กิติชัย เตชะงามเลิศ, ผลกระทบของ Airbnb (ตอนที่ 1) โพสต์ ทูเดย์ (29 มิถุนายน 2016) คอลัมน์ เขียนอย่างที่คิด
[4] Airbnb สะเทือนวงการโรงแรมจริงหรือ?, Economic Intelligence Center, SCB (23 พฤศจิกายน 2016)
[5] กิติชัย เตชะงามเลิศ, ผลกระทบของ Airbnb (ตอนจบ) โพสต์ ทูเดย์ (6 กรกฎาคม 2559) คอลัมน์ เขียนอย่างที่คิด
[6] อาทิ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา , นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายทศพร ศิริสัมพันธ์ ประธานกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นางสาวศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ นายกสมาคมโรงแรมไทยและนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน
[7] “ไมเนอร์”ออกโรงต้าน “Airbnb” จี้มหาดไทยรีดภาษี ฐานเศรษฐกิจ (6 ธันวาคม 2019) https://www.thansettakij.com/content/business/416255?utm_source=homepage_hilight&utm_medium=internal_referral
Leave a Comment