วิสัยทัศน์ผู้ปกครองไม่ตอบโจทย์ของประเทศ?

ที่มาภาพ: https://vision2030.gov.sa/en

ครงการก่อสร้างเมืองในอนาคต (Neom) ของเจ้าชาย Mohammed bin Salman’s (MBS) มกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย กำลังเผชิญความท้าทายจากราคาน้ำมันดิบที่ตกต่ำเป็นประวัติการณ์และแรงกดดันด้านประชากร ทั้งนี้ เมื่อกลางเมษายน 2020 ราษฎรซาอุดีอาระเบียคนหนึ่งปฏิเสธที่จะย้ายออกจากบ้านพักที่ถูกเวณคืนเพื่อสร้างเมืองดังกล่าวถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคงและจัดฉากว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” แม้ถูกกล่าวหาเรื่องการทรมาน ออกคำสั่งฆ่าผู้สื่อข่าวและคุมขังนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งยืนยันถึงการเพิกเฉยต่อสิทธิมนุษยชนและความโปร่งใส แต่ MBS ยังคงใช้กลยุทธ์หักหาญเป็นเครื่องมือครองอำนาจ ทั้งที่พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผลตามที่มุ่งหวัง[1]
          ส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ 2030 อันกล้าหาญของ MBS มีเป้าหมายเพื่อยกเครื่องเศรษฐกิจและสังคมซาอุดีอาระเบีย โดยรัฐบาลมีแผนสร้างเมืองในอนาคตที่ Neom ทางตะวันตกเฉียงเหนือของภูมิภาคทะเลแดง[2] ในการเตรียมที่ดินสำหรับการก่อสร้างมูลค่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทางการซาอุดีอาระเบียได้ใช้วิธีขับไล่ชนเผ่าซึ่งอาศัยอยู่แต่เดิมมานาน 800 ปีอย่างเฉียบพลัน เมืองในอนาคตเป็นเพชรบนยอดมงกุฎของ MBS แต่ยังไม่ชัดเจนว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยจัดการอนาคตของเยาวชนซาอุดีอาระเบียรุ่นใหม่ได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อผสานกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองในทศวรรษข้างหน้า
          รายได้จากการส่งออกน้ำมันดิบที่ลดลงอันเป็นผลจากการทำสงครามราคากับร้สเซีย[3] และการถดถอยทางเศรษฐกิจในระยะยาวเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ทำให้รัฐบาลซาอุดีอาระเบียมีเงินสดน้อยลงในการใช้จ่ายเพื่ออุปถัมภ์ประชาชน ความผุกร่อนของสัญญาประชาชาคมระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองจะนำไปสู่ปัญหาร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมชนเผ่า ในรัชสมัยกษัตริย์ Abdulaziz al Saud ผู้ก่อตั้งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย โครงการสวัสดิการสังคมเอื้ออาทรทำให้ชนเผ่าซาอุดีอาระเบียรู้สึกเหมือนได้รับพระมหากรุณาธิคุณ แต่ในปัจจุบันมีคำถามเกี่ยวกับมกุฎราชกุมาร ซึ่งมีนัยของความน่ากลัวและไร้เสถียรภาพดังก้องออกนอกประเทศและภูมิภาค
          เมื่อกลางเมษายน 2020 Abdul Rahim Ahmad Mahmoud al-Hwaiti ราษฎรซาอุดีอาระเบียใน al-Khraybah ปฏิเสธการส่งมอบบ้านและที่ดินแก่ทางการซาอุดีอาระเบีย ต่อมาถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอย่างไรก็ดี al-Hwaiti รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า หลังจากทางการส่งเจ้าหน้าที่มาพบและหลายชั่วโมงก่อนที่จะถูกสังหาร al-Hwaiti ได้ถ่ายภาพวิดิโอ ซึ่งคาดการณ์ว่าเจ้าหน้าที่ความมั่นคงจะสังหารตนและจัดฉากโดยนำอาวุธปืนมาไว้ในที่เกิดเหตุรวมทั้งกล่าวหาว่าตนเป็นผู้ก่อการร้าย
          เหตุดังกล่าวเป็นเครื่องพิสูจน์ความโหดร้ายและคาดการณ์ได้ของ MBS การฆาตกรรมส่อให้เห็นภาพลบของรูปแบบการปฏิบัติการ (modus operandi) สังหารทุกคนที่ขวางทาง มีรายงานว่า MBS ได้รับฉายา “Abu Rasasa” หรือ “บิดาแห่งกระสุน” หลังจากส่งจดหมายบรรจุกระสุนถึงเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดิน ให้ช่วยบังคับเอาที่ดินของประชาชน MBS สัญญาว่าจะทำให้ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศทันสมัย แต่นิสัยเก่าไม่เคยเปลี่ยนนับตั้งแต่ปี 2015 ซาอุดีอาระเบียลงโทษประหารชีวิตนักโทษ 800 คน (ข้อมูลจากกลุ่มสิทธิมนุษยชน) อนึ่ง การลงโทษประหารชีวิตในรัชสมัยของกษัตริย์ Salman เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่านับตั้งแต่ขึ้นครองราชย์
          การขับเคลื่อนโครงการของ MBS อาจทำให้มีผู้พลัดถิ่นจำนวนมากถึง 20,000 คน รวมทั้งสมาชิกชนเผ่าทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง Tabuk รัฐบาลจ่ายค่าชดเชยแบบคลุมเครือแก่เจ้าของที่ดิน ชนเผ่าบางกลุ่มตีความว่าเป็นการดูหมิ่นและอาจนำไปสู่ความแตกแยกของประชาชนในพื้นที่ ผู้อาศัยในท้องถิ่นเห็นว่าที่ดินเป็นของบรรพบุรุษและพวกตนถูกหักหาญ โดยการคุกคามคุมขังหรือตาย MBS มักใช้กลยุทธ์หักหาญ ตั้งแต่การรีดไถเชื้อพระวงศ์ที่โรงแรม Ritz Carlton ในกรุงริยาด เมื่อพฤศจิกายน 2017[4] รวมทั้งถูกกล่าวหาลักพาตัวและทรมาน ฆาตกรรมนักข่าว Jamal Khashoggi[5] และพยายามปิดบังการกระทำแบบซุ่มซ่าม
แนวโน้มดังกล่าวเป็นเรื่องอันตรายสำหรับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เนื่องจากการจับกุมคุมขังนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนและการปราบปรามผู้เห็นต่างด้วยการปกครองแบบกำปั้นเหล็ก (iron fist) จะทำให้สังคมที่หมดความอดดทนมีความตึงเครียดมากขึ้น
          ความผิดพลาดบ่อยครั้งในการดำเนินนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศของ MBS แสดงให้เห็นความไม่ชำนาญและอ่อนหัด หายนะของนโยบายต่างประเทศรวมทั้งความล้มเหลวในสงครามเยเมน เป็นเครื่องพิสูจน์นิสัยห่ามของ MBS ซึ่งขาดประสบการณ์ในเวทีโลก ปฏิบัติการทางทหารของซาอุดีอาระเบียในเยเมนนำไปสู่การทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขที่เปราะบางของประเทศ การโจมตีทางอากาศแบบไม่เลือกเป้าหมายทำลายโรงพยาบาลและคลินิคสุขภาพหลายแห่ง
       การโจมตีแบบทำลายล้างทำให้เยเมนไม่สามารถรับมือการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโคโรนา ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก แม้แต่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ยังเอาชนะซาอุดีอาระเบียในเยเมนด้วยชั้นเชิงที่เหนือกว่า โดย UAE สนับสนุนกลุ่ม Southern Transitional Council (STC) ที่มีฐานที่มั่นในกรุงเอเดนและปัจจุบันได้ประกาศปกครองตนเอง ขณะที่รัฐบาลเยเมน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากซาอุดีอาระเบียกลับเห็นว่าเป็นเรื่อง “อันตราย”



[1] IS MOHAMMED BIN SALMAN LEADING SAUDI ARABIA INTO THE ABYSS? INTELBRIEF Wednesday, April 29, 2020 Available at: https://mailchi.mp/thesoufancenter/is-mohammed-bin-salman-leading-saudi-arabia-into-the-abyss?e=c4a0dc064a
[2] “NEOM” เมืองใหม่แห่งอนาคตของซาอุฯ จ้างสองบริษัทใหญ่สร้างหมู่บ้านคนงาน พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์ Tuesday September 102019 สืบค้นที่ https://www.ryt9.com/s/anpi/3039968
[3] ดู วิกฤติ'อุตสาหกรรมน้ำมัน'คอลัมน์ พลวัตปี 2020 โดย ฐาปณี แก้วแดง หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น ฉบับ 22 เมษายน 2563 หน้า 2
[4] ‘มหาศึกชิงบัลลังก์’ ฉบับซาอุดิอาระเบีย บุญโชค พานิชศิลป์ The MOMENTUM NOV 9, 2017 สืบค้าได้ที่: https://themomentum.co/saudis-game-of-thrones/
[5] สหประชาชาติเผยพบหลักฐานชี้มกุฎราชกุมารซาอุฯ พัวพันสังหาร จามาล คาชูจกิ BBC Thai 19 มิถุนายน 2019 สืบค้นได้ที่: https://www.bbc.com/thai/international-48689044
Author Image

About Kim
Kim is a retired civil servant, specializing in intelligence analysis. He loves productivity hacks, minimalist workflows and CSI series.

No comments

Powered by Blogger.