ประเมินภัยคุกคามบ้านเกิด: ส่องแนวโน้มอันตรายของประเทศ

ที่มาภาพ: https://www.crisisgroup.org/united-states/too-much-lose-steering-us-away-election-related-violence

ระทรวงความมั่นคงแห่งบ้านเกิด (Department of Homeland Security - DHS) สหรัฐฯ เปิดเผยรายงานการประเมินภัยคุกคามบ้านเกิดฉบับปฐมฤกษ์เมื่อต้นตุลาคม 2020 โดยเน้นย้ำว่า รัสเซียและจีนกำลังใช้เครื่องมือทางไซเบอร์และสื่อสังคม (social media) ทำลายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ขณะที่ตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ (non-state actor) เช่น กลุ่มคนขาวผู้สูงส่ง (white supremacists) และ neo-Nazis รวมทั้งพวกขวาจัดอื่น ๆ เป็นภัยคุกคามบ้านเกิด DHS ประเมินด้วยว่า กลุ่มรัฐอิสลาม (ISIS) และ al-Qaeda ยังคงมุ่งหมายที่จะโจมตีสหรัฐฯในดินแดนบ้านเกิด แต่ความสามารถในการปฏิบัติการของกลุ่มดังกล่าวลดลงอย่างมาก[1]

          เมื่อ ตุลาคม 2020 DHS ได้เปิดตัวรายงานประเมินภัยคุกคคามบ้านเกิด (Homeland Threat Assessment HTA)[2] เป็นครั้งแรกรวม 7 ด้าน ได้แก่ ไซเบอร์ อิทธิพลจากต่างประเทศ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การก่อการร้าย องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ การอพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายและภัยพิบัติธรรมชาติ สาระสำคัญส่วนใหญ่เป็นการตรวจสอบภัยคุกคามบนพื้นฐานข้อเท็จจริงและไม่เข้าข้างฝ่ายใด โดยการสังเคราะห์ข้อมูลข่าวสารจากทุกแหล่ง (all-sources information) และความเชี่ยวชาญภายใน DHS รวมทั้งข่าวกรอง หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและองค์ประกอบปฏิบัติการ

ส่วนที่เปิดเผยทางการเมืองมากที่สุดของรายงานนี้คือ หัวข้อเกี่ยวกับการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย แต่มิได้ อธิบายการใช้ประโยชน์จากเส้นทางอพยพของผู้เป็นภัยคุกคามและไม่ได้ให้รายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับภัยคุกคามที่เกิดจากการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย แหล่งที่มาของความตึงเครียดทางการเมืองอีกประการหนึ่งที่ปรากฏในรายงาน HTA คือ ผู้แจ้งข้อมูลภายในระดับสูงของ DHS กล่าวหาว่า ผู้บังคับบัญชาของตนปิดกั้นการนำเสนอรายงาน HTA เนื่องจากการอ้างถึงกลุ่มคนขาวผู้สูงส่งอาจทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์โกรธ

รายงาน HTA ระบุอย่างชัดเจนว่า กลุ่มคนขาวผู้สูงส่งเป็นภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติและกล่าวถึง “กลุ่มต่อต้านรัฐบาล/พวกหัวรุนแรงต่อต้านผู้มีอำนาจ” แม้ไม่ได้อ้างอิงหรือระบุชื่อกลุ่มติดอาวุธที่เป็นภัยคุกคามการก่อการร้ายในประเทศ ซึ่งมีหลักฐานชี้ว่าวางแผนลักพาตัว Gretchen Whitmer ผู้ว่าการรัฐมิชิแกน

รายงาน HTA กล่าวหาว่า รัสเซีย จีน อิหร่านและเกาหลีเหนือดำเนินกิจกรรมมุ่งร้าย ทั้งนี้ รัสเซียและจีนใช้ความสามารถทางไซเบอร์คุกคามโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของสหรัฐฯ จีนเคลื่อนไหวทางไซเบอร์โดยมุ่งเน้นผลประโยชน์ทางธุรกิจของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินงานที่เชื่อมโยงด้านการป้องกันและอุสาหกรรมการผลิต นอกจากนั้น จีนและรัสเซียยังคงมีส่วนร่วมในการรณรงค์สร้างอิทธิพลเพื่อทำให้สหรัฐฯอ่อนแอลง DHS ประเมินว่า “รัสเซียมีอิทธิพลแอบแฝงและเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน (dis-information) และข้อมูลที่ผิด (misinformation) ในสหรัฐฯ”

ระบอบการปกครองของปูตินยังคงเป็นตัวแทนความโกลาหล ที่หาทางบ่อนทำลายศรัทธาของชาวอเมริกันต่อสถาบันต่าง ๆ และการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เปิดโอกาสให้รัสเซียขยายความไม่ลงรอยที่เกิดขึ้น รายงานกล่าวโทษจีนที่ใช้เครื่องมือสื่อสังคมในการสร้างเรื่องเล่าเท็จเกี่ยวกับต้นกำเนิดของ COVID-19 ในระดับที่น้อยกว่าตัวแสดงออนไลน์ของอิหร่านซึ่งพยายามเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับ COVID-19 โดยเฉพาะการกล่าวหาว่าสหรัฐฯเป็นผู้สร้างไวรัสและใช้เป็นอาวุธ (weaponizing)

เกาหลีเหนือถูกกล่าวถึงในรายงาน HTA เพียงสามครั้ง โดยถือเป็นภัยคุกคามสหรัฐฯด้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ รายงานดังกล่าวเน้นย้ำว่าทั้งรัสเซียและจีนยังคงมีส่วนร่วมในการใช้ทั้งเครื่องมือแอบแฝงและเปิดเผย เพื่อชักจูงชาวอเมริกันผู้มีสิทธิออกเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีใน 3 พฤศจิกายน 2020 แม้ HTA ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า รัสเซียสนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่กล่าวว่า “รัสเซียใช้มาตรการสร้างความแตกแยกเพื่อขัดขวางกระบวนการเลือกตั้งรวมถึงสบประมาทอดีตรองประธานาธิบดี Biden ด้วย”

HTA แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ภัยคุกคามที่สำคัญที่สุดจากตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ ได้แก่ กลุ่มคนขาวผู้สูงส่งที่ยังคงมุ่งเป้าที่ชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติและศาสนา กลุ่ม LGBTQ+ ผู้ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและนักการเมืองหัวเอียงซ้าย รายงาน HTA แสดงแผนภูมิสถิติการโจมตีของผู้ก่อการร้ายที่คุกคามต่อชีวิตในสหรัฐฯระหว่างปี 2018 - 2019 กลุ่มคนขาวผู้สุงส่งโจมตีและคร่าชีวิตผู้คนมากกว่ากลุ่มหัวรุนแรงสุดโต่งในท้องถิ่น (Homegrown Violent Extremists - HVEs) และกลุ่มหัวรุนแรงอื่น ๆ ในประเทศทั้งหมดรวมกัน

รายงานดังกล่าวอธิบายว่า กลุ่มคนขาวผู้สูงส่งและกลุ่มต่อต้านรัฐบาลฝ่ายขวาได้ฉวยโอกาสจาการแพร่ระบาด COVID-19 และการประท้วงอย่างสันติ เพื่ออำพรางการวางแผนและหรือปฏิบัติการโจมตีอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม การขาดรายชื่อเฉพาะเจาะจงของกลุ่มคนขาวผู้สูงส่ง กลุ่มต่อต้านรัฐบาล กลุ่ม/ขบวนการเคลื่อนไหวที่มีแนวคิดสมคบคิดทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นปริศนาน่าสงสัย

สุดท้าย HTA ประเมินว่า ขณะที่องค์การก่อการร้ายต่างชาติ (FTO) มุ่งมั่นที่จะโจมตีในดินแดนบ้านเกิดสหรัฐฯ แต่ขีดความสามารถในการปฏิบัติการยังคงมีข้อจำกัด แต่กลุ่มต่าง ๆ เช่น ISIS และ al-Qaeda พยายามสร้างแรงบันดาลใจให้กับพลเมืองสหรัฐฯและปลูกฝังกลุ่มหัวรุนแรงในท้องถิ่น การเข้าถึงออนไลน์ของกลุ่มเหล่านี้โดยเฉพาะ ISIS เป็นปัญหาน่ากังวล เนื่องจากการโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงพลเมืองสหรัฐฯผ่านสื่อสังคมหรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ

น่าสังเกตุว่า HTA เน้นย้ำถึง FTO กลุ่มที่สามคือ เฮซบอลเลาะห์ในของเลบานอน ซึ่งอิหร่านสามารถใช้เป็นตัวแทนในการโจมตีในบ้านเกิดได้ หากความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ - อิหร่านเสื่อมทรามลงอีก ในที่สุด HTA ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า FTO เป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อผลประโยชน์สหรัฐฯในต่างประเทศมากกว่าผลประโยชน์ในบ้านเกิด

แม้ HTA ระบุชื่อ FTO เช่น ISIS และ al-Qaeda ตลอดจนองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติหลายกลุ่ม แต่ไม่ได้กล่าวถึงกลุ่ม Atomwaffen Division, Boogaloo Bois, Proud Boys หรือ QAnon ทั้งที่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มและการเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้สังหารชาวอเมริกัน คาดว่าการเปิดเผยข้อมูลครั้งต่อไปของ HTA คงจะทำได้ดีและชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับกิจกรรมของกลุ่มเหล่านี้และรัฐสภาควรกำหนดให้ DHS ประเมินและเปิดเผยภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นต่อสาธารณชนต่อไป


[1] RECENT HOMELAND THREAT ASSESSMENT ILLUMINATES DANGEROUS TRENDS INTELBRIEF Monday, October 12, 2020 Available at: https://mailchi.mp/thesoufancenter/recent-homeland-threat-assessment-illuminates-dangerous-trends?e=c4a0dc064a

[2] Homeland Threat Assessment October 2020 Department of Homeland Security ดาวน์โหลดเอกสาร PDF ได้ที่ https://www.dhs.gov/sites/default/files/publications/2020_10_06_homeland-threat-assessment.pdf

Author Image

About Kim
Kim is a retired civil servant, specializing in intelligence analysis. He loves productivity hacks, minimalist workflows and CSI series.

No comments

Powered by Blogger.