สหภาพยุโรปกับการควบคุมเนื้อหาออนไลน์ของผู้ก่อการร้าย

ที่มาภาพ: https://www.consilium.europa.eu/en/infographics/terrorist-content-online/

หภาพยุโรป (EU) ประกาศใช้กฎระเบียบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมการกระจายเนื้อหาทางออนไลน์ของผู้ก่อการร้าย แม้มีการตั้งข้อสงวนคุ้มครอง “เสรีภาพในการพูด” แต่ระเบียบดังกล่าวคงไม่อาจยับยั้งความตึงเครียดระหว่าง EU กับสหรัฐฯ เนื่องจากมาตรฐานที่แตกต่างกันด้านเสรีภาพในการพูดของทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ การบังคับใช้กฎหมายของ EU มีบทลงโทษทางการเงินสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติตาม อย่างไรก็ดี รัฐบาลบางประเทศอาจมีเหตุผลด้านข่าวกรองในการอนุญาตให้เผยแพร่เนื้อหาที่มีปัญหา ทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องเลือกปฏิบัติตามคำขอระหว่างประเทศ[1]

          สหภาพยุโรป (EU) ประกาศใช้กฎหมายฉบับใหม่ซึ่งเรียกว่า การจัดระเบียบเนื้อหาออนไลน์ของผู้ก่อการร้าย (2021/784) เมื่อ มิถุนายน 2021 โดยเป็นความพยายามครั้งล่าสุดของ EU ในการบังคับผู้ให้บริการสื่อสังคม (host) ลบเนื้อหาออนไลน์ของผู้ก่อการร้าย หากมีข้อสงสัยเพียงเล็กน้อยว่า แพลตฟอร์มของผู้ให้บริการออนไลน์ (บริษัทสื่อสังคม) เป็นช่องทางในการจัด (ประชุม) องค์กร ระดมทุนและวางแผนโจมตีของผู้ก่อการร้าย

บริษัทสื่อสังคมใน Silicon Valley ต้องรับผิดชอบสูงสุดเกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ตของผู้ก่อการร้าย การผงาดขึ้นของรัฐอิสลามและ Jabhat al-Nusrah ในซีเรียและอิรัก สอดคล้องกับการโฆษณาชวนเชื่ออย่างแนบเนียนและการเผยแพร่คลิปวิดีโอบน YouTube รวมทั้งการระดมทุนบน Facebook และ Twitter ก่อนหน้านี้ Brenton Tarrant สมาชิกกลุ่มคนขาวผู้สูงส่ง (white supremacy) ใช้ Facebook ถ่ายทอดสดการโจมตีเป้าหมายชาวมุสลิมในเมืองไครสต์เชิร์ช นิวซีแลนด์

Margaritis Schinas รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรปเรียกการกระทำของ Tarrant ว่าเป็นการก่อการร้าย โดยกล่าวว่า “เรากำลังปราบปรามการแพร่ขยายเนื้อหาออนไลน์ของผู้ก่อการร้ายและทำให้สหภาพยุโรปมีความมั่นคงอย่างแท้จริง นับจากนี้ แพลตฟอร์มออนไลน์จะมีเวลาหนึ่งชั่วโมงในการนำเนื้อหาของผู้ก่อการร้ายออกจากเว็บ รับรองว่าการโจมตีแบบเดียวกับที่ไครสต์เชิร์ชจะไม่ถูกใช้สร้างมลพิษบนหน้าจอและจิตใจ”

          คำแถลงของ Schinas ระบุว่า บทบัญญัติสำคัญของกฎระเบียบใหม่ของ EU ผู้ให้บริการสื่อสังคมมีเวลาสูงสุดหนึ่งชั่วโมงในการลบเนื้อหาของผู้ก่อการร้ายออกจากแพลตฟอร์มของตน เมื่อได้รับคำขอจากหน่วยงานที่มีอำนาจ อย่างไรก็ดี ย่อหน้าที่ 17 ของข้อบังคับดังกล่าวระบุว่า “ยกเว้นในกรณีฉุกเฉินที่มีเหตุผลอันสมควร หน่วยงานที่มีอำนาจควรจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนและกำหนดเวลาแก่ผู้ให้บริการสื่อสังคมล่วงหน้าอย่างน้อย 12 ชั่วโมง” ในทางปฏิบัติ ผู้ให้บริการสื่อสังคมอาจมีเวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงในการพิจารณาคำขอของผู้มีอำนาจ

          บทบัญญัติ EU ที่ 2021/784 อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านการคุ้มครองเสรีภาพในการพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ล่อแหลมในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นที่ตั้งบริษัทโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกและมีมาตรฐานด้านเสรีภาพในการพูดแตกต่างจาก EU ค่อนข้างมาก  EU พยายามระงับการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวโดยอธิบายว่าระเบียบนี้ใช้กับการชักชวน (การระดมทุนหรือดำเนินการในนามของกลุ่มผู้ก่อการร้าย) การปลุกระดม (สนับสนุนการกระทำความผิดของผู้ก่อการร้ายรวมถึงการให้เกียรติยกย่อง) และการให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการโจมตี

ในสหรัฐฯ บุคคลจะไม่ถูกดำเนินคดีเพียงเพราะเชิดชูการกระทำที่ใช้ความรุนแรง (แม้การกระทำดังกล่าวอาจละเมิดหลักเกณฑ์ของชุมชนและความปลอดภัยของบริษัทสื่อสังคมจำนวนหนึ่ง) ด้วยเหตุนี้ความตึงเครียดอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกฎระเบียบของ EU และมาตรฐานเสรีภาพในการพูดของสหรัฐฯจึงยังคงอยู่ ทำให้บริษัทผู้ให้บริการสื่อสังคมในสหรัฐฯจำเป็นต้องเลือก ระหว่างเสรีภาพในการพูดซึ่งได้รับการคุ้มครองโดยสหรัฐฯหรือกฎระเบียบใหม่ของ EU

กฎระเบียบของ EU สร้างขึ้นเพื่อปกป้อง “สิทธิขั้นพื้นฐาน” เช่น ข้อกำหนดในการรายงานประจำปี การแจ้งเตือนผู้ใช้งานเกี่ยวกับการพิจารณาลบเนื้อหา การร้องเรียนเพื่ออนุญาตให้เพิกถอนการพิจารณาลบเนื้อหาและการคุ้มครองเนื้อหาที่เผยแพร่สำหรับผู้สื่อข่าว การวิจัยหรือความมุ่งหมายทางศิลปะ แม้กระนั้น การคุ้มครองเหล่านี้คงไม่สามารถบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับเสรีภาพในการพูดฉบับย่อ

          กฎระเบียบของ EU มีบทลงโทษสำหรับการไม่ปฏิบัติตาม กล่าวคือ ผู้ให้บริการสื่อสังคมจะถูกลงโทษหากไม่ลบเนื้อหาที่ระบุภายในหนึ่งชั่วโมง มาตรา 18 ระบุถึงองค์ประกอบ ประการ ในการลงโทษทางด้านการเงินสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติตาม การเผยแพร่เนื้อหาบนแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็นการละเมิดโดยเจตนาหรือไม่ ประเด็นสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ ระดับความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการสื่อสังคมกับหน่วยงานที่มีอำนาจ ตลอดจนขนาดและความแข็งแกร่งทางการเงินของผู้ให้บริการสื่อสังคม

ในการนี้ EU มีแนวโน้มที่จะเรียกเก็บค่าปรับบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Facebook, Google และ Twitter มากกว่าบริษัทขนาดเล็ก ยังคงมีช่องว่างในการตีความบทลงโทษ เนื่องจากกฎหมายใหม่ EU อ้างถึงข้อแนะนำของกรรมาธิการยุโรป (European Commission Recommendation) ปี 2003 ซึ่งให้คำนิยามโดยไม่คำนึงถึงธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็กและขนาดจิ๋ว (มีพนักงานน้อยกว่า 250 คน) ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของ EU (2021/784) อาจส่งผลให้บริษัททุกขนาดต้องถูกลงโทษในอัตราสูงถึงร้อยละ 4 ของมูลค่าการซื้อขายของแพลตฟอร์ม

          ขณะที่ข้อบังคับ EU อนุญาตให้ผู้ให้บริการสื่อสังคมมีส่วนร่วมกับหน่วยงานที่มีอำนาจพิจารณาเหตุผลในการไม่ลบเนื้อหา แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าจะมีผลอย่างไรในสถานการณ์ที่ซับซ้อน เช่น หน่วยงานผู้มีอำนาจในยุโรปอาจยื่นคำขอ (ให้ลบเนื้อหาโดยเร็วไปยังบริษัทซึ่งขัดแย้งกับบุคคลที่สามซึ่งไม่ใช่ประเทศใน EU ในทางทฤษฎีหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ อาจกำลังตรวจสอบการดำเนินงานของเครือข่ายหัวรุนแรงบนแพลตฟอร์มของบริษัทสื่อสังคมและขอไม่ลบเนื้อหาออก โดยเกรงว่าจะกระทบการสืบสวนซึ่งอาจเป็นการแจ้งเตือนกลุ่มหัวรุนแรง

            เป็นเรื่องง่ายที่จะตั้งสมมติฐานว่าหน่วยงานของ EU อาจยื่นคำขอให้ลบเนื้อหาเดียวกัน โดยบริษัทสื่อสังคมอาจไม่มีเสรีภาพที่จะให้ข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับคำขอของสหรัฐฯ แก่หน่วยงานที่มีอำนาจของ EU ซึ่งทำให้บริษัทสื่อสังคมมีปัญหากับ (ระเบียบใหม่) EU ซึ่งมีจุดมุ่งหมายต่อต้านการใช้อินเทอร์เน็ตในทางที่ผิดของผู้ก่อการร้าย อย่างไรก็ดี ความยุ่งยากอยู่ในรายละเอียด มีความเป็นไปได้ที่การดำเนินการตามระเบียบใหม่ของ EU จะสร้างความท้าทายทางกฎหมาย การเงินและการบังคับใช้กฎหมายในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


[1] THE EUROPEAN UNION MOVES TO FIGHT TERRORIST CONTENT ONLINE INTELBRIEF Tuesday, June 15, 2021 Available at: https://mailchi.mp/thesoufancenter/the-european-union-moves-to-fight-terrorist-content-online?e=c4a0dc064a

Author Image

About Kim
Kim is a retired civil servant, specializing in intelligence analysis. He loves productivity hacks, minimalist workflows and CSI series.

No comments

Powered by Blogger.