หาก “สงครามการค้า” ยืดเยื้อจะทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย

ที่มาภาพบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย

ารตัดสินใจประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนครั้งล่าสุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯเมื่อต้นพฤษภาคม 2019 ที่ผ่านมาทำให้ข้อพิพาทด้านการค้ากับจีนขยายตัวทวีความรุนแรง หลังจากทั้งสองฝ่ายต่างคาดหวังว่าการเจรจาการค้าที่ดำเนินมาเกือบ 1 ปี มีแนวโน้มจะได้ข้อยุติ ทั้งนี้ ในระยะสั้นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศไม่มากนัก หากการเจรจาการค้ายืดเยื้อ อาจทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากท่าทีของผู้นำทั้งสองฝ่ายดูเหมือนกำลังเล่นเกมการแข่งขันที่มีผลรวมเป็นศูนย์ (Zero Sum) ซึ่งต่างฝ่ายต่างไม่ยอมผ่อนปรนท่าทีต่อกัน
          ในวันเดียวกันที่รองนายกรัฐมนตรีหลิว เหอ ของจีนเดินทางถึงกรุงวอชิงตัน เพื่อเจราจาการค้ากับสหรัฐฯ เมื่อ 10 พฤษภาคม 2019 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 คิดเป็นมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อตอบโต้การกลับคำ (backtracking) ของจีนซึ่งได้แสดงจุดยืนยอมรับข้อตกลงในการเจรจาครั้งก่อน และหากยังตกลงกันไม่ได้สหรัฐฯจะพิจารณาขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนทั้งหมด อย่างไรก็ดี จีนได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯมูลค่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อตอบโต้สหรัฐฯโดยจะมีผลใน 1 มิถุนายน 2019
          ก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายตั้งความหวังว่าการเจรจาการค้าที่ดำเนินมาตั้งแต่ 16 กรกฎาคม 2018 จะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ แต่หลังจากจีนถูกกล่าวหาว่าไม่รักษาคำสัญญาในข้อตกลงที่นายกรัฐมนตรีหลิวเรียกว่า “ประเด็นหลักการ” ซึ่งรวมทั้งเงื่อนไขที่สหรัฐฯต้องการให้จีนปฏิรูปกฎหมายเพื่อป้องกันการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา การจารกรรมความลับทางอุตสาหกรรม นอกจากนั้นสหรัฐฯยังขอให้จีนเพิ่มการนำเข้าสินค้าบางอย่างของสหรัฐฯ ซึ่งจีนถือว่าเป็นเรื่อง “ไร้เหตุผล” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขึ้นบัญชีดำเทคโนโลยี 5 ของจีนที่เชื่อมโยงกับ “หัวเหว่ย”
          การเจรจาที่ยืดเยื้อ นอกจากจะก่อให้เกิดความเสียหายที่ร้ายแรงแก่เศรษฐกิจของทั้งสองฝ่าย ยังจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกด้วย ตามที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าหากสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนทั้งหมดตามคำขู่ จะทำให้ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐลดลงร้อยละ 0.9 ส่วน GDP ของจีนลดลงร้อยละ 1.6 ทางด้านองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาของประเทศกลุ่มยุโรป (OECD) ประเมินว่า ภายในปี 2022 หากทั้งสองฝ่ายยังคงปรับเพิ่มภาษีนำเข้าจะส่งผลให้ GDP ของโลกลดลงร้อยละ 0.7 คิดเป็นมูลค่า 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจกังวลว่าหากการเจรจาการค้ายืดเยื้อต่อไปจะทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย
          ในชั้นนี้ทั้งจีนและสหรัฐฯประกาศว่าการเจรจาการค้ายังไม่ยุติ โดยในมิถุนายน 2019 จะมีการเจรจาที่กรุงปักกิ่ง สำหรับจีนและผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง คงจะไม่เปลี่ยนจุดยืนหรือยินยอมให้สหรัฐฯชี้นำการกำหนดเงื่อนไขในข้อตกลง ส่วนรัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์จะยอมรับเฉพาะเงื่อนไขการเจรจาในจุดเริ่มต้นเท่านั้น การตัดสินใจผิดพลาดของผู้นำทั้งสองนำไปสู่ภาวะเหมือนการเล่นเกมการแข่งขันที่มีผลรวมเป็นศูนย์ (Zero Sum) ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีท่าทีประนีประนอมเพื่อให้บรรลุข้อตกลง ด้วยเหตุนี้ข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐ – จีน จึงยังคงไม่สามารถหาข้อยุติได้ในอนาคตอันใกล้
Author Image

About Kim
Kim is a retired civil servant, specializing in intelligence analysis. He loves productivity hacks, minimalist workflows and CSI series.

No comments

Powered by Blogger.