สหรัฐฯประเมิน - สหประชาชาติห่วงกังวล: แนวโน้มการก่อการร้ายโลกก่อนสิ้นปี 2019 ?

Authors of the report suggest that though the caliphate has ceased to exist, many factors that gave rise to Isis and similar groups still exist. Photograph: Uncredited/AP ที่มา: https://www.theguardian.com/world/2019/aug/03/new-wave-of-terrorist-attacks-possible-before-end-of-year-un-says

ระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเผยแพร่รายงานการก่อการร้ายรายประเทศประจำปี 2018
(Country Reports on Terrorism 2018) เมื่อตุลาคม 2019[1] วิเคราะห์แนวโน้มปฏิบัติการข้ามชาติของการก่อการร้ายและต่อต้านการก่อการร้าย โดยกลุ่มประเทศในเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกาที่อยู่ใต้ทะเลทรายซาฮารา (Sub-Saharan Africa) มีการก่อการร้ายเกือบร้อยละ 85 ของการโจมตีทั่วโลก ปัญหาหลักของการก่อการร้ายคือ 1) ภัยคุกคามจากกลุ่มรัฐอิสลาม (Islamic State - IS) หลังการล่มสลายในอิรักและซีเรีย ซึ่งเข้าสู่ระยะการฟื้นฟูระบบส่งกำลังบำรุงใหม่โดยใช้ตุรกีเป็นที่หลบภัย 2) อิหร่านยังคงเป็นรัฐอุปถัมภ์การก่อการร้ายโดยให้การสนับสนุนเงินทุน การฝึกอบรมและเครื่องมือแก่กลุ่มติดอาวธมุสลิมชีอะต์ในตะวันออกกลาง และ 3) การเพิ่มขึ้นของการก่อการร้ายที่มีมูลเหตุจูงใจจากเรื่องเชื้อชาติทั่วโลก
การปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ จากเดิมที่มุ่งปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายไปเป็นการเตรียมการแข่งขันเพื่อเป็นประเทศอภิมหาอำนาจ ทำให้ภูมิภาคดังกล่าวมีความเปราะบางและอาจกลายเป็นพื้นที่ไร้เสถียรภาพ[2] ในปี 2018 สหรัฐฯและพันธมิตรได้ปลดปล่อยพื้นที่ยึดครองของ IS ในอิรักและซีเรียเกือบทั้งหมด (พื้นที่ 110,000 ตารางกิโลเมตร) และประชาชนภายใต้การปกครองอย่างโหดร้าย 7.7 ล้านคน (ชาย หญิงและเด็ก) นำไปสู่การทำลาย “รัฐคอลิฟะห์” ในปี 2019 แม้ถูกปราปรามอย่างหนัก แต่ IS และกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงและเครือข่ายสามารถปรับตัวโดยสร้างแรงจูงใจและสั่งการทาง online กลุ่ม IS เข้าถึงและปฏิบัติการโจมตีในเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา นักรบต่างชาติของ IS ในพื้นที่สู้รบถูกผลักดันกลับประเทศและหลบหนีไปยังประเทศที่สามซึ่งก่อให้เกิดภัยคุกคามแบบใหม่
ตลอดปี 2018 ผู้ก่อการร้ายดำเนินกลยุทธ์การโจมตีและมีวิวัฒนาการโดยใช้เทคโนโลยี ตัวอย่างเช่น Drone[3] ที่ใช้ในเชิงพาณิชย์และระบบสื่อสารเข้ารหัสและเทคโนโลยีระดับต่ำ อาทิ รถยนต์และมีด ซึ่งเป็นความ    ท้าทายสำหรับการต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ก่อการร้ายยังคงมีความตั้งใจโจมตีการบิน พลเรือน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ในห้วงตุลาคม 2018 ทำเนียบขาวได้เผยแพร่เอกสารยุทธศาสตร์การต่อต้างการก่อการร้ายแห่งชาติ (National Strategy for Counterterrorism)[4] นับเป็นยุทธศาสตร์ต่อต้านการก่อการร้ายฉบับแรกของสหรัฐฯตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งเน้นถึงความจำเป็นในการต่อต้านภัยคุกคามจากผู้ก่อการร้ายที่เผชิญหน้าสหรัฐฯอย่างครบถ้วนทุกด้าน รวมทั้ง IS อัล-ไคดา กลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านและองค์การก่อการร้ายในภูมิภาค
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯดำเนินความพยายามต่อสู้กับการจัดหาเงินทุนของกลุ่มก่อการร้าย โดยสามารถระบุพฤติการณ์การหาเงินทุนสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายและบุคคล 51 ราย และส่วนที่ดำเนินการโดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ 151 ราย ปฏิบัติการดังกล่าวเป็นก้าวสำคัญในการตัดตอนทรัพยากรที่อาจใช้ในการโจมตีก่อการร้าย ทั้งนี้ ภารกิจสำคัญเร่งด่วนของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯอีกอย่างหนึ่ง คือ การจำกัดการเดินทางของผู้ก่อการร้าย โดยสหรัฐฯมีบทบาทสำคัญในการดำเนินมาตรการตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 2396 ซึ่งมีจุดมุ่งหมายต่อต้านการเดินทางของผู้ก่อการร้าย รวมทั้งมาตรการสร้างความมั่นคงชายแดนและการแบ่งปันข้อมูลข่าวสาร
ก่อนหน้านี้เมื่อกรกฎาคม 2019 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council) ได้เผยแพร่รายงานของทีมติดตามตรวจสอบวิเคราะห์การสนับสนุนและคว่ำบาตร ISIL (Da’esh) Al-Qaida บุคคลและกลุ่มที่เกี่ยวข้อง[5] ซึ่งดำเนินการตามข้อมติที่ 2368 (2017) เตือนว่า การโจมตีก่อการร้ายระหว่างประเทศที่หยุดชะงักชั่วคราวเป็นการถอยไปตั้งหลักที่อาจสิ้นสุดลงด้วยการโจมตีครั้งใหญ่ภายในสิ้นปี 2019[6] หาก IS มีเวลาและพื้นที่ในการเสริมสร้างขีดความสามารถปฏิบัติการระหว่างประเทศ นอกจากนั้นยังอาจเกิดการโจมตีที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก IS ในพื้นที่อื่น ๆทั่วโลก
รายงานดังกล่าวระบุว่าผู้นำ IS ไม่ได้รับทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับการโจมตีแบบนองเลือดที่โบสถ์คริสต์และโรงแรมในศรีลังกา (21 เมษายน 2019ซึ่งมีแรงกระตุ้นและแรงจูงใจจากอุดมการณ์ของ IS วัตถุประสงค์ของการวางระเบิดดังกล่าวเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ระดับโลกของ IS หลังความพ่ายแพ้ทางการทหารในอิรักและซียเรีย IS ยังสามารถเข้าถึงเงินทุนที่เหลือประมาณ 50 - 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งใช้ในการรักษาชื่อเสียงยี่ห้อกลุ่มก่อการร้ายระดับโลกและโฆษณาชวนเชื่อในลักษณะ “รัฐคอลิฟะห์เสมือน (virtual caliphate)” สำหรับกลุ่ม อัล-ไคดายังคงมีความยืดหยุ่น แต่สุขภาพของ Ayman al-Zawahiri ผู้นำอายุ 68 ปีอยู่ในสภาพย่ำแย่ ทางการสหรัฐฯยืนยันเมื่อต้นสิงหาคม 2019 ว่า Hamza bin Laden อายุ 30 ปี บุตรชายของ Osama bin Laden ผู้ก่อตั้งกลุ่ม al-Qaida ถูกสังหารเมื่อสองปีก่อน อนึ่ง Hamza bin Laden ถูกฟูมฟักให้เป็นผู้นำคนต่อไปของกลุ่ม al-Qaida 



[1] Country Reports on Terrorism 2018 United States Department of State Publication Bureau of Counterterrorism Released October 2019 เอกสาร PDF https://www.state.gov/wp-content/uploads/2019/11/Country-Reports-on-Terrorism-2018-FINAL.pdf
[2] TRENDS IN GLOBAL TERRORISM SOUFAN CENTER (November 20, 2019) https://mailchi.mp/thesoufancenter/trends-in-global-terrorism?e=c4a0dc064a
[3] เครื่องบินไร้คนขับที่ควบคุมด้วยวิทยุทางไกล อากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle - UAV) 
[4] WHITE HOUSE RELEASES NATIONAL STRATEGY FOR COUNTERTERRORISM Thursday, 04 October 2018 https://www.dni.gov/index.php/nctc-newsroom/item/1911-white-house-releases-national-strategy-for-counterterrorism ดูเอกสาร PDF ที่ https://www.whitehouse.gov/wp-content/uploads/2018/10/NSCT.pdf
[5] ข้อมูลที่ใช้จัดทำรายงานได้รับการสนับสนุนจากหน่วยข่าวกรองของประเทศสมาชิก UN และพิจารณาวิเคราะห์โดยหน่วยงานด้านความมั่นคงทั่วโลก
[6] New wave of terrorist attacks possible before end of year, UN says by Jason Burke The Guardian
Sat 3 Aug 2019 05.00 BSTLast modified on Sat 3 Aug 2019 05.02 BST
Author Image

About Kim
Kim is a retired civil servant, specializing in intelligence analysis. He loves productivity hacks, minimalist workflows and CSI series.

No comments

Powered by Blogger.