นโยบายต่างประเทศของว่าที่ประธานาธิบดีไบเดนจะเป็นอย่างไร

 

ที่มาภาพ: https://www.nbcnews.com/politics/2020-election/biden-kicks-presidential-transition-begging-americans-wear-masks-n1247143

ลกคาดหวังอะไรจากแนวทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศของ Joseph R. Biden, Jr. ว่าที่ประธานาธิบดี (President-Elect) คนที่ 46 ของสหรัฐฯ? ในเวทีโลก Biden จะฟื้นฟูทั้งความน่าเชื่อถือและอำนาจยับยั้งของสหรัฐฯโดยทันที เฉพาะอย่างยิ่งการหันกลับมาต่อต้านเผด็จการและอำนาจนิยม สำหรับนโยบายตะวันออกกลางจะเปลี่ยนไปพอประมาณ ทั้งนี้ Biden จะประเมินค่าความสัมพันธ์ใหม่กับซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน อย่างไรก็ดี การคาดทำนายใด ๆ เกี่ยวกับโยบายต่างประเทศของ Biden คงไม่อาจเพิกเฉยว่า ในเบื้องต้นรัฐบาล Biden จะให้ความสำคัญกับการตอบสนองการแก้ไขปัญหาภายในประเทศเป็นลำดับแรก[1]

          การดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีภายใต้บารัค โอบามาตั้งแต่ปี 2009 - 2017 และประสบการณ์หลายสิบปีในรัฐสภาสหรัฐฯได้สร้างชื่อเสียงให้กับ Biden ในฐานะผู้เชี่ยวชาญกิจการและนโยบายต่างประเทศเกือบทุกมาตรการ Biden เชื่อมั่นในพลังอำนาจและเชิดชูบทบาทที่เข้มแข็งของสหรัฐฯในเวทีโลก บทความด้านการต่างประเทศของ Biden ในวารสาร FOREIGN AFAIRS ฉบับฤดูใบไม้ผลิปี 2020 เรื่อง “Why America Must Lead[2] ได้แสดงวิสัยทัศน์การฟื้นฟูพลังอำนาจของสหรัฐฯด้วยการมีส่วนร่วมกับพันธมิตรที่ยาวนานและการเผชิญหน้ากับฝ่ายปฏิปักษ์

          ในเวทีโลกว่าที่ประธานาธิบดี Biden จะฟื้นฟูความน่าเชื่อถือและอำนาจยับยั้งของสหรัฐฯในไม่ช้า โดยเฉพาะการหันกลับมาต่อต้านผู้นำเผด็จการที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ เช่น ผู้นำเกาหลีเหนือ Kim Jong Un และประธานาธิบดี Vladimir Putin ของรัสเซีย ในช่วง ปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ความเป็นกันเองและยกย่องผู้นำอำนาจนิยมซึ่งละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่น ประธานาธิบดี Abdel Fatah al-Sisi ของอียิปต์และประธานาธิบดี Recep Tayyip Erdogan ของตุรกี

การดำเนินนโยบายต่างประเทศตามแนวทางแลกเปลี่ยนของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นการลดคุณค่าของพันธมิตรสำคัญเช่น NATO ขณะเดียวกันก็คล้อยตามผู้นำอำนาจนิยมเช่น ประธานาธิบดี สี จิ้นผิงของจีน โดยตั้งข้อสังเกตุเมื่อปลายมกราคมที่ผ่านมาว่า “จีนพยายามอย่างหนักเพื่อควบคุมไวรัสโคโรนา สหรัฐฯชื่นชมความพยายามและความโปร่งใสของพวกเขาอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนามของชาวอเมริกัน ผมอยากขอบคุณประธานาธิบดีสี” อย่างไรก็ดี ว่าที่ประธานาธิบดี Biden คงจะแข็งกร้าวกับจีนและมีแนวโน้มจะได้รับการต้อนรับจากเมืองหลวงของยุโรปส่วนใหญ่ ตั้งแต่บรัสเซลส์ไปจนถึงเบอร์ลิน

          สำหรับนโยบายตะวันออกกลางจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทั้งนี้ Biden จะประเมิค่าความสัมพันธ์ใหม่กับซาอุดีอาระเบียและอาจผูกสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่าน ซึ่งจะทำให้ดุลอำนาจภูมิศาสตร์การเมืองในภูมิภาคเปลี่ยนไป เนื่องจากความเป็นผู้นำที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของ Mohammed bin Salman (MBS) มกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการสังหาร Jamal Khashoggi นักข่าวซาอุดีอาระเบียไปจนถึงสงครามหายนะในเยเมน MBS อาจพบว่าตัวเองถูกลดคุณค่า ในขณะที่สหรัฐฯพิจารณาข้อดีและข้อเสียของการดำเนินความความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย

ในทำนองเดียวกันรัฐบาล Biden คงจะหาทางเริ่มการเจรจากับอิหร่านผ่านข้อตกลงร่วมว่าด้วยแผนปฏิบัติการครอบคลุม (The Joint Comprehensive Plan of Action - JCPOA)  ระหว่างอิหร่านและ 5 ชาติสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC)[3] ซึ่งประสบความล้มเหลวในการ “กดดันอิหร่านขั้นสูงสุด” ในช่วงต้นของรัฐบาลทรัมป์ รวมทั้งอาจเป็นคนกลางในการเจรจาสันติภาพระหว่างอิสราเอล - ปาเลสไตน์ สิ่งที่ยังไม่ชัดมากนักคือ  รัฐบาล Biden จะใช้กลยุทธ์อะไรในประเทศที่มีทหารสหรัฐฯประจำการอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ อัฟกานิสถานและอิรัก

          รัฐบาล Biden จะมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยสัญญาว่าจะกลับเข้าร่วม (Paris Climate Accord)[4] ในวันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ในบรรดาคำมั่นจำนวนมากของเขา Biden ยังได้สัญญาว่าจะดำเนินการขยายสนธิสัญญาลดอาวุธทางยุทธศาสตร์ (Strategic Arms Reduction Treaty - START) ฉบับใหม่ซึ่งเป็น “จุดยึดของความมั่นคงทางยุทธศาสตร์” ระหว่างสหรัฐฯและสหพันธรัฐรัสเซีย

การคาดทำนายเกี่ยวกับโยบายต่างประเทศของ Biden คงไม่อาจเพิกเฉยว่า ในเบื้องต้นรัฐบาล Biden จะให้ความสำคัญกับการตอบสนองการแก้ไขปัญหาภายในประเทศที่เป็นผลจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 การสร้างเศรษฐกิจใหม่และสมานรอยร้าวลึกที่ปรากฏชัดในสังคมอเมริกัน หลังจาก ปีของการใช้ถ้อยคำสร้างความแตกแยกของประธานาธิบดีทรัมป์ การแพร่ขยายกองกำลังต่อต้านรัฐบาลและนักทฤษฎีสมคบคิด กลุ่มหัวรุนแรงขวาสุดโต่งรวมทั้งกลุ่ม neo-Nazis และกลุ่มคนขาวผู้สูงส่ง (white supremacists)



[1] WHAT WOULD A BIDEN FOREIGN POLICY LOOK LIKE? INTELBRIEF November 6, 2020 Available at: https://mailchi.mp/thesoufancenter/what-would-a-biden-foreign-policy-look-like?e=c4a0dc064a

[2] Why America Must Lead Again Rescuing U.S. Foreign Policy After Trump By Joseph R. Biden, Jr. FOREIGN AFFAIRS March/April 2020 Available at: https://www.foreignaffairs.com/articles/united-states/2020-01-23/why-america-must-lead-again

[3] คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เป็นหนึ่งใน เสาหลักของสหประชาชาติ ที่มีอำนาจในการเรียกระดมพลจากรัฐสมาชิกในสหประชาชาติเพื่อจัดตั้งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปปฏิบัติหน้าที่รักษาสันติภาพในประเทศและสงครามต่าง ๆ และยังมีอำนาจในการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อประเทศต่าง ๆ

[4] ความตกลงปารีส คือ ข้อตกลงนานาชาติด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่ ซึ่งเป็นผลมาจากการประชุมสมัชชาภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ครั้งที่ 21 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างช่วงวันที่ 30 พฤศจิกายน ถึง 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558 (นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่าการประชุม COP21) โดยเป็นข้อตกลงที่จะวางกรอบแนวทางหลักของประชาคมโลกในการจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วงหลังจากปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) เป็นต้นไป สืบค้นที่ถอดความหมาย “ความตกลงปารีส (Paris Agreement)” supawatss July 222016 Progreen https://progreencenter.org/2016/07/22/ถอดความหมาย-ความตกลงปา/

Author Image

About Kim
Kim is a retired civil servant, specializing in intelligence analysis. He loves productivity hacks, minimalist workflows and CSI series.

No comments

Powered by Blogger.