คนโง่และหลงตัว:“เป้าหมาย” สมบูรณ์แบบของ “การชักชวน” สายลับ

Russia has hung over much of Trump’s presidency, in part because of his apparent relationship with President Putin. Photograph: Susan Walsh/AP ที่มาภาพ: https://www.theguardian.com/us-news/2021/jan/19/russia-the-spectre-that-loomed-over-trumps-presidency

รัสเซียใช้ระยะเวลา 40 ปี ในการปลูกฝัง (cultivated) ให้โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯเป็น “สายลับอิทธิพล” โดย Yuri Shvets อายุ 67 ปี[1] อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง KGB[2] เปิดเผยกับ The Guardian เมื่อ 25 มกราคม 2021 ว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นกับทรัมป์เป็นกรณีตัวอย่างที่บุคคลอาจถูกชักชวน (recruit) ให้เป็นสายลับตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญ”[3] ทั้งนี้ Shvets เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในหนังสือเล่มใหม่ชื่อ American Kompromat ของ Craig Unger นักเขียน/นักวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์กับปูติน

          Shvets เปรียบเทียบ “ทรัมป์” กับกรณี “Cambridge five” ข่ายงานสายลับอังกฤษของสหภาพโซเวียต (รัสเซีย) ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองและช่วงต้นสงครามเย็น[4] หนังสือของ Unger อธิบายว่า รัสเซียให้ความสนใจทรัมป์ครั้งแรกในปี 1977 เมื่อเขาแต่งงานกับภรรยาคนแรก Ivana Zelnickova นางแบบชาวเช็ก ทรัมป์กลายเป็น “เป้าหมาย” ปฏิบัติการจัดหาสายลับของหน่วยข่าวกรองเชโกสโลวะเกียซึ่งร่วมมือกับ KGB

          สามปีต่อมาทรัมป์เปิดตัวโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ the Grand Hyatt New York Hotel ตั้งอยู่ใกล้สถานี Grand Central โดยทรัมป์จัดซื้อโทรทัศน์ 200 เครื่องจาก Semyon Kislin ผู้อพยพชาวโซเวียตซึ่งเป็นเจ้าของร่วมบริษัทขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ Joy-Lud บนถนนฟิฟท์อเวนิว ซึ่งถูกควบคุมโดย KGB และ Kislin ซึ่งทำหน้าที่ผู้เก็งตัวสายลับ (spotter agent) ระบุว่าทรัมป์เป็นนักธุรกิจดาวรุ่งที่มีศักยภาพเป็นสายลับอิทธิพล อย่างไรก็ดี Kislin ปฏิเสธความสัมพันธ์กับ KGB

          ต่อมาในปี 1987 ทรัมป์และอิวานาไปเยือนมอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นครั้งแรก Shvets กล่าวว่าเขาเป็นผู้กำหนดประเด็นสนทนาให้ KGB และผู้ปฏิบัติการของ KGB ชักชวนให้ทรัมป์ลงเล่นการเมือง Shvets กล่าวต่อว่า สำหรับ KGB นี่คือการใช้เสน่ห์เชิงรุก (Charm Offensive) เพื่อให้เข้าใจว่ารัสเซียไม่ใช่ภัยคุกคาม พวกเขารวบรวมข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับมูลเหตุจูงใจของทรัมป์ โดยประเมินว่าทรัมป์มีความเปราะบางทั้งด้านสติปัญญาและจิตใจรวมทั้งมีแนวโน้มชอบการเยินยอ

          KGB เล่นเกมแสวงประโยชน์ราวกับว่าพวกเขาประทับใจบุคคลิกภาพทรัมป์อย่างมาก รวมทั้งเชื่อว่าในอนาคตทรัมป์อาจจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั่นคือคนอย่างทรัมป์สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ KGB ปรนเปรอทรัมป์ด้วยประโยคเด็ดหรือวรรคทองที่เรียกว่า “มาตรการเชิงรุก” และถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของ KGB ในเวลานั้น

          ไม่นานหลังเดินทางกลับจากรัสเซีย ทรัมป์ก็เริ่มเสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในนามพรรครีพับลิกันและรณรงค์หาเสียงที่เมืองพอร์ตสมัธ มลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ เมื่อ 1 กันยายน 1987 เขาซื้อโฆษณาแบบเต็มหน้าในหนังสือพิมพ์ New York Times, Washington Post และ Boston Globe นำเสนอความคิดเห็นตรงข้ามกับประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน โดยระบุว่าสหรัฐฯควรยุติการจ่ายงบประมาณป้องกันแก่ประเทศพันธมิตรที่สามารถป้องกันตัวเองได้[5] อีกทั้งแสดงความสงสัยการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯในองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organisation - NATO)

          ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างความประหลาดใจและยินดีอย่างมากในรัสเซีย ไม่กี่วันต่อมา Shvets ได้กลับไปยังสำนักงานใหญ่ของ KGB ในเมือง Yasenevo โดยได้พบผู้อำนวยการ KGB ซึ่งรับทราบโทรเลขรายงานการประกาศโฆษณาของทรัมป์ว่าเป็นความสำเร็จของ “มาตรการเชิงรุก” ซึ่งดำเนินการโดยสายลับอิทธิพลคนใหม่

          Shvets คุ้นเคยกับกระบวนการชักชวนสายลับของ KGB ที่เริ่มต้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 70 และ 80 หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ยินอะไรแบบนั้นหรือที่คล้ายกันจนกระทั่งทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ นับเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าจะมีใครเผยแพร่เรื่องราวแบบนั้นในนามตัวเอง เพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้คนในโลกตะวันตก แต่ในที่สุดชายคนนี้ได้กลายเป็นประธานาธิบดี

          ชัยชนะจากการเลือกตั้งของทรัมป์ในปี 2016 สร้างความยินดีแก่มอสโกอีกครั้ง รายงานสืบสวนของโรเบิร์ต มุลเลอร์ ที่ปรึกษาพิเศษของทำเนียบขาว ไม่ได้สร้างประเด็นการสมคบคิดระหว่างสมาชิกทีมหาเสียงของทรัมป์กับชาวรัสเซีย แต่โครงการมอสโก (Project Moscow) ซึ่งริเริ่มโดย Center for American Progress Action Fund พบว่าทีมหาเสียงและทีมงานประธานาธิบดีช่วงเปลี่ยนผ่านติดต่อคนรู้จักอย่างน้อย 272 รายและมีการประชุมอย่างน้อย 38 ครั้ง ที่เชื่อมโยงกับรัสเซีย

          Shvets ได้ดำเนินการสืบสวนเรื่องดังกล่าวด้วยตัวเองและเห็นว่ารายงานของมุลเลอร์น่าผิดหวังอย่างมากเนื่องจากผู้คนคาดหวังว่าจะมีการตรวจสอบความสัมพันธ์หว่างทรัมป์และมอสโกอย่างละเอียด แต่ความจริงปรากฎว่าเป็นการสอบสวนประเด็นอาชญากรรม (crime-related issues) โดยไม่มีแง่มุมด้านการต่อต้านข่าวกรองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์กับมอสโก ดังนั้นเขาจึงดำเนินการสืบสวนและร่วมมือกับ Unger โดยเชื่อว่าหนังสือของเขาจะเริ่มต้นจากจุดที่มุลเลอร์ทิ้งไว้

          Unger ผู้มีผลงานเขียนหนังสือ 7 เล่มและอดีตบรรณาธิการร่วมของนิตยสาร Vanity Fair กล่าวว่า ทรัมป์เป็น “สินทรัพย์ (asset)” ไม่ได้ใหญ่โตขนาดนี้ แผนการอันแยบยลพัฒนาให้เขาเป็นประธานาธิบดีในอีก 40 ปีต่อมา เมื่อปี 1980 รัสเซียพยายามชักชวนและติดตามบุคคลหลายสิบคนอย่างบ้าคลั่ง “ทรัมป์เป็นเป้าหมายที่สมบูรณ์แบบ: ความไร้สาระความหลงตัวเองทำให้เขาตกเป็นเป้าหมายการชักชวนโดยธรรมชาติ KGB ปลูกฝังเขาตลอดห้วงระยะเวลา 40 ปีจนกระทั่งได้รับเลือกตั้ง”



[1] Yuri Shvets (อดีตนายทหารยศพันตรี) ถูกส่งไปประจำการที่วอชิงตันในช่วงทศวรรษ 1980 ภายใต้สถานะการอำพรางเป็นผู้สื่อข่าวสำนักข่าว TASS และย้ายไปพำนักที่สหรัฐฯอย่างถาวรในปี 1993 และได้สัญชาติอเมริกัน ปัจจุบันพำนักในรัฐเวอร์จิเนีย เขาทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบความปลอดภัยขององค์กรและเป็นคู่หูของ Alexander Litvinenko ซึ่งถูกลอบสังหารในลอนดอนในปี 2006

[2] ย่อมาจาก Komitet Gosudarstvennoy Bezopasnosti หรือ คณะกรรมการความมั่นคงแห่งรัฐ (State Security Committee) อดีตหน่วยงานกลาง ดูแลการข่าวกรอง ความมั่นคง ตำรวจสันติบาลและกิจการชายแดนของสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี 1954 - 1991 KGB ถูกยุบไปหลังจากหัวหน้า KGB ร่วมก่อกบฏรัฐบาลประธานาธิบดีกอร์บาชอฟ แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกแทนที่โดยสำนักงานความมั่นคงกลาง (Federalnaya sluzhba bezopasnosti - FSB) แทน สืบค้นที่ https://th.wikipedia.org/wiki/คณะกรรมการความมั่นคงแห่งรัฐ_(สหภาพโซเวียต)

[3] ‘The perfect target’: Russia cultivated Trump as asset for 40 years – ex-KGB spy David Smith in Washington @smithinamerica Fri 29 Jan 2021 08.00 GMT https://www.theguardian.com/us-news/2021/jan/29/trump-russia-asset-claims-former-kgb-spy-new-book

[4] The Cambridge Five ปัญญาชนชั้นสูงของอังกฤษ สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เป็นชาวอังกฤษ 4 คน คือ Guy Burgess (1911 – 1963) Kim Philby (1912 – 1988) John Cairncross (1913 – 1955) Donald Maclean (1913 – 1983) และชาวอเมริกัน 1 คน Michael Straight (1916 – 2004) เครือข่ายนี้สร้างความเสียหายอย่างมากต่อหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ (MI 6) ในช่วงสงครามเย็นในปี 1940 และ 1950 เชื่อกันว่าข้อมูลที่ Philby ให้ไว้อาจเป็นเหตุให้เกิดวิกฤตการณ์ปิดล้อมเบอร์ลินระหว่างปี 1948 – 1949

[5] Trump: U.S. Should Stop Paying To Defend Countries that Can Protect Selves JOHN SHANAHAN AP News September 2, 1987 Available at https://apnews.com/article/05133dbe63ace98766527ec7d16ede08

Author Image

About Kim
Kim is a retired civil servant, specializing in intelligence analysis. He loves productivity hacks, minimalist workflows and CSI series.

No comments

Powered by Blogger.