รับมือ “สงครามการค้า” ด้วยกลยุทธ์ 3 สั้น 2 ยาว

ที่มาภาพ: https://www.ft.com/content/6124beb8-5724-11ea-abe5-8e03987b7b20

ถ้ อยแถลงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ต่อที่ประชุมร่วมวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯเมื่อคืน 4 มีนาคม 68 ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่สาบานตนรับตำแหน่งวาระ 2 (20 มกราคม 2025) สาระสำคัญคล้ายคลึงกับที่ประกาศในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ[1] ทั้งนี้ คำปราศรัยดังกล่าวไม่ใช่การแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) แต่สะท้อนทิศทางนโยบายสหรัฐฯในอีก ปีข้างหน้า

เป้าหมายทวงคืนความยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ (America First/Make America Great Again) ที่เสื่อมทรุดลงจากปัญหาเศรษฐกิจ สังคมและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สั่นคลอนระเบียบโลกภายใต้โลกาภิวัตน์และกฎเกณฑ์การค้าเสรีอาจจะสิ้นสุดลง[2] ไม่เพียงกดดันเศรษฐกิจโลกยังเพิ่มความไร้เสถียรภาพและความไม่แน่นอน

รัฐบาลทรัมป์ 2.0 เปิดเกมรุกด้วยมาตรการ Raise Maximum Stake โดยประกาศใช้ภาษีศุลกากรต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) เมื่อ 0216.00 เม.ย.68 (เวลาสหรัฐ) คือ 1) ภาษีนำเข้าจากคู่ค้าทุกประเทศ (Broadbase) ในอัตราร้อยละ 10 (มีผลหลัง เมษายน 2025) และ 2) ภาษีประเทศคู่ค้าที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ 60 ประเทศ (มีผลบังคับใช้ เมษายน 2025) ประเทศที่ถูกเก็บภาษีรายประเทศจะไม่ถูกเก็บภาษี Broadbase อีก

ส่วนไทยถูกเรียกเก็บภาษีร้อยละ 36[3] สูงเป็นอันดับที่ ในอาเซียน ภาษีดังกล่าวจะกดดันการส่งออกและเศรษฐกิจไทย คาดว่า GDP ไทยในปี 2025 จะเติบโตลดลงจากร้อยละ 2.4 เหลือร้อยละ 1.4 (กรณีแย่ที่สุดคาดว่าจะเติบโตเพียงร้อยละ 0.9 YoY) มีแนวโน้มว่าการตอบโต้ทางการค้าจะทวีความรุนแรงในช่วง 2 – 3 เดือนข้างหน้า

ต่อมาเมื่อ เมษายน 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศระงับการบังคับใช้มาตรการภาษีต่างตอบแทนเป็นเวลา 90 วัน (Back-and-Forth tariffs) พร้อมปรับลดอัตราภาษีกับคู่ค้าทุกประเทศลงเหลือร้อยละ 10 เนื่องจากคู่ค้ามากกว่า 75 ประเทศได้ติดต่อสหรัฐฯเพื่อเจรจาหาทางออกและปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็นร้อยละ 125 พร้อมระบุให้จีนเริ่มต้นการเจรจา

ภาษีศุลกากรและการกีดกันทางการค้า (trade restrictions) ทำให้เกิดปัญหาเฉพาะหน้าและความท้าทายเชิงโครงสร้าง อีกไม่นานข้อตกลงสหรัฐฯ - เม็กซิโก - แคนาดา (United States - Mexico - Canada Agreement - USMCA)[4]  จะมาแทนข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (North American Free Trade Agreement – NAFTA) ทำให้สหรัฐฯเข้าถึงตลาดนมแคนาดาและเปิดโอกาสให้แคนาดาส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐฯได้มากขึ้น[5]

บริษัทต่าง ๆ ต้องตอบสนองการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแต่ไม่มากเกินไป โดยบริหารกรอบเวลาสองช่วงพร้อมกันทั้งในระยะสั้นและสร้างทางเลือกระยะยาวรวมทั้งต้องจัดการการพึ่งพากัน ประการ ได้แก่ ความต่อเนื่องของอุปทาน การดำเนินงาน กระแสเงินสดและลูกค้าเช่นเดียวกับช่วงวิกฤติโควิด-19[6]

ผลกระทบในระยะสั้น เช่น ความผันผวนของราคา การจัดหาสินค้าหยุดชะงักและอื่น ๆ อาจทำให้ค่าใช้จ่ายและรายได้แกว่งตัว การจัดทำงบประมาณและการคาดการณ์ไม่มีความหมาย ส่งผลกระทบราคาหุ้นและอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นหรือเศรษฐกิจถดถอยจึงต้องดำเนินการทันทีเพื่อลดความเสียหาย

ในระยะยาวความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานและการปะทะกันเรื่องภาษีศุลกากรยังคงอยู่ จึงต้องพัฒนาหรือเร่งการออกแบบเครือข่ายอุปทานใหม่ซึ่งใช้เวลาหลายปีและต้องอาศัยความเป็นเจ้าของ คณะกรรมการบริหารต้องร่างแนวทางตอบสนอง 5 ประการ โดยลงมือทำทันที 3 ประการและแผนริเริ่มระยะยาว 2 ประการ

กลยุทธ์ระยะสั้นในการจัดการสงครามการค้า ควรดำเนินการ กลยุทธ์ต่อไปนี้ เนื่องจากไม่ทราบระยะเวลาที่แน่นอนและรายละเอียดเฉพาะของภาษีศุลกากรและการตอบโต้ จึงต้องสร้างสมมติฐาน สถานการณ์จำลองและแผนการตอบสนองอย่างรวดเร็วรวมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ตรวจสอบสัญญาเพื่อหาทางเจรจาและจัดตั้งทีมงานที่มีอำนาจชัดเจนจากเบื้องบน

การจัดการภาษีศุลกากร (Tariff engineering) ระบุวิธีจัดหาสินค้าจากพื้นที่ถูกเก็บภาษีศุลกากรต่ำกว่าทีละรายการรวมทั้งส่วนประกอบและสินค้าสำเร็จรูป (เกือบหนึ่งทศวรรษที่บริษัทต่าง ๆ เปลี่ยนแหล่งจัดหาสินค้าบางส่วนจากจีนไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น ไทย อินเดียและเม็กซิโก) โดยจัดตั้ง War Room[7] (พื้นที่ทางกายภาพหรือเสมือนจริง) ประกอบด้วยบุคลากรฝ่ายจัดซื้อ โลจิสติกส์ การดำเนินงาน การเงิน กฎหมาย ผู้นำทางการค้าและฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์มาทำงานร่วมกันและมีอำนาจในการตัดสินใจซื้อได้ทันที

กลยุทธ์นี้จำเป็นต้องเข้าใจอย่างหนักแน่นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงด้านปฏิบัติการ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นไปได้รวมทั้งกฎระเบียบด้านภาษีศุลกากร ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น บริการที่มีมูลค่าเพิ่ม ส่วนประกอบในภูมิภาคและข้อพิจารณาเฉพาะผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนและพิถีพิถัน

ประโยชน์ของการจัดการภาษีศุลกากรแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละบริษัทและอุตสาหกรรม บริษัทที่ใช้แนวคิดนี้สามารถประหยัดต้นทุนภาษีศุลกากรได้ร้อยละ 5 – 10 ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนและช่วยประหยัดเวลาอันมีค่าได้

การวิเคราะห์ความอ่อนไหวต่อราคา (Price sensitivity analysis) ภาษีศุลกากรทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ผู้ผลิตต้องรับภาระเพิ่มขึ้น การกำหนดภาษีศุลกากรกระตุ้นให้เกิดการวิเคราะห์ความอ่อนไหวต่อราคาทันที ซึ่งแตกต่างกันไปตามอุตสาหกรรม กลุ่มตลาดและผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรมผู้บริโภคมีความอ่อนไหวต่อราคามากกว่าอุตสาหกรรม B2โดยต้นทุนสูงกว่าในการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์และบริการ (switching cost) การทำสัญญาและการเจรจาที่ยาวนานและสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น การสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการมีผลต่อการคำนวณต้นทุนการเป็นเจ้าของของลูกค้า

 ในตลาดผู้บริโภค สินค้าฟุ่มเฟือยมีความอ่อนไหวแตกต่างกัน ผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์แข็งแกร่งหรือส่วนแบ่งการตลาดสูงจะมีอำนาจเหนือกว่า เมื่อรัฐบาลทรัมป์ใช้ภาษีศุลกากรครั้งแรกในปี 2018 และ 2019 บริษัทผู้บริโภคและค้าปลีกจำนวนมากสามารถส่งต่อผลกระทบจากภาษีศุลกากรได้ถึงร้อยละ 30 หรือ 50 ด้วยการขึ้นราคา ปัจจุบันลูกค้าต่อต้านการขึ้นราคาและอาจทนการขึ้นราคาได้น้อยกว่า

ผู้บริหารต้องประมาณการและสร้างแบบจำลองการตอบสนองของคู่แข่งผ่าน “รอบการเล่น (round of play)” ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เนื่องจากการจัดหา ข้อกำหนด การจัดจำหน่าย แบรนด์และประสิทธิภาพทางการเงินแตกต่างกัน ความเสี่ยงของคู่แข่งอาจสูงหรือต่ำกว่า เช่นเดียวกับอำนาจการกำหนดราคา หากอัตรากำไรดีกว่าจะสามารถดูดซับต้นทุนภาษีศุลกากร การกู้คืนการสูญเสียอัตรากำไรถูกจำกัด ในทางกลับกันหากมีความเปราะบางมากกว่าอาจมีค่าใช้จ่ายในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด

ประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Operational efficiency) การจัดการภาษีศุลกากรและการกำหนดราคาสามารถลดต้นทุนของสงครามการค้าได้หลายอย่าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดบริษัทควรออกแบบการดำเนินการที่รวดเร็วเฉพาะเจาะจงเพื่อปรับปรุงต้นทุนอื่น ๆ เช่น การดำเนินการ กิจกรรมทางการค้าและลดผลกระทบผลต่อกำไรให้เหลือน้อยที่สุด

การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ปรับการดำเนินการให้เหมาะสมเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิตควบคู่กับการวางแผน กำหนดการและการจัดการวัสดุที่ดีขึ้นจะเพิ่มประสิทธิภาพและผลักดันการประหยัดต้นทุนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานได้

การแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ การดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศเข้าสู่ยุคใหม่ที่ไม่มั่นคง สมมติฐานเก่า ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ยาวนานและระบบการค้าที่สม่ำเสมอคงไม่มีอีกแล้ว จึงต้องเชื่อมโยงการตอบสนองทันทีกับการวางแผนระยะยาวสองประการ:

การสร้างขีดความสามารถ (Capability building) อากรและภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ได้รับการจัดการแบบแยกส่วน ปกติจะเป็นทีมภาษีหรือการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ปัจจุบันต้องตระหนักถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในการจัดการอากรและภาษีศุลกากร การรวมหน้าที่เหล่านี้เข้ากับทีมปฏิบัติการ การจัดหาและจัดซื้อต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

ต้องมีเครื่องมือ บุคลากรและกระบวนการที่ช่วยจับคู่ความต้องการในการจัดซื้อกับข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับข้อจำกัดทางการค้า ซัพพลายเออร์และทางเลือกอื่น ๆ ที่เป็นไปได้รวมทั้งความรู้เกี่ยวกับการกำหนดราคาและความอ่อนไหวต่อราคา ซึ่งเชื่อมโยงกับการวางแผนการขายและการดำเนินงาน

บริษัทขนาดใหญ่บางแห่งได้พัฒนาขีดความสามารถดังกล่าวเอง บริษัทอื่น ๆ และบริษัทขนาดเล็กจำนวนมากพึ่งพาแพลตฟอร์มข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ที่พัฒนาและดำเนินการโดยบุคคลที่สาม ซึ่งสามารถจับคู่ความต้องการในการจัดซื้อกับฐานข้อมูลที่แสดงราคาและความพร้อมใช้งานวัสดุและชิ้นส่วนต่าง ๆ และค้นหาวิธีหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรและจัดการต้นทุน

ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีความยืดหยุ่นในการผลิต จัดจำหน่ายและความสามารถอื่น ๆ มีหลายวิธีที่จะเพิ่มความยืดหยุ่นขององค์กร เช่น การลงทุนในสายการผลิตที่สามารถเปลี่ยนจากผลิตภัณฑ์หนึ่งไปสู่อีกผลิตภัณฑ์หนึ่งได้อย่างง่ายดาย การเตรียมการจัดหาแบบคู่ขนาน การรับรองสัญญาว่าจะไม่ผูกมัดกับการจัดซื้อ การทำงานร่วมกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง การเปลี่ยนแปลงข้อตกลงด้านการจัดเก็บและการจัดจำหน่ายเพื่อเปลี่ยนต้นทุนคงที่เป็นต้นทุนผันแปร เป็นต้น

การปรับโครงสร้างใหม่ในระยะยาว (Long-term reconfiguration) บริษัทต่าง ๆ ต้องเริ่มหรือเร่งการปรับโครงสร้างใหม่ในระยะยาว ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่เชิงกลยุทธ์ โดยใช้แนวทางขับเคลื่อนด้วยต้นทุนรวมของการเป็นเจ้าของ ปัจจัยสำคัญได้แก่ การย้ายแหล่งจัดหาและสถานที่ผลิตตามตลาดที่ให้บริการ โครงสร้างต้นทุน ผลกระทบด้านภาษีศุลกากรและการพิจารณาด้านโลจิสติกส์

การย้ายหรือเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานอาจต้องใช้เวลา ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม ความพร้อมของฐานจัดหาและความสมบูรณ์ของระบบนิเวศห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งส่งผลต่อจำนวนผู้จัดหาทางเลือกที่มีอยู่ สินค้าที่การผลิตซับซ้อนในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และฮาร์ดแวร์ อาจใช้เวลานานกว่า 12 เดือน แต่ภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้สามารถเริ่มต้นด้วยชิ้นส่วนที่ซับซ้อนน้อยกว่า เช่น แผงวงจรและส่วนประกอบพลาสติกและโลหะ

นโยบายในประเทศ เช่น พระราชบัญญัติการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการจ้างงาน (IIJA) พระราชบัญญัติการลดอัตราเงินเฟ้อ (IRA) และพระราชบัญญัติ CHIPS ให้แรงจูงใจทางการเงินที่สำคัญ เช่น เครดิตภาษี เงินช่วยเหลือและเงินทุน เพื่อส่งเสริมการผลิตในสหรัฐฯ ในเชิงกลยุทธ์ การปรับโครงสร้างใหม่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทีมผู้บริหารทั้งหมด

การเตรียมรับมือสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้พึงตระหนักว่า “ความไม่แน่นอน” และ “ความผันผวน” จะกลายเป็นลักษณะเด่นของระบบการค้าโลก หากต้องการเติบโตในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ผู้นำจะต้องฉวยโอกาสและวางกลยุทธ์ในเวลาเดียวกันรวมทั้งชาญฉลาดในการมองภาพแนวโน้มอุตสาหกรรมและพลวัตการแข่งขัน



[1] 7 takeaways from Trump’s speech to Congress March 4, 2025 at 11:47 p.m. EST Analysis by Aaron Blake Analysis by Aaron Blake Washinton Post Available at: https://www.washingtonpost.com/politics/2025/03/04/7-takeaways-trumps-speech-congress/

[2] PM Lawrence Wong on implications of US tariffs for Singapore Youtube CNA Apr 4, 2025 Available at: https://www.youtube.com/watch?v=A3hS93y7C0I

[3] อัตราสูงกว่าค่าเฉลี่ยของส่วนต่างอัตราภาษีนำเข้าสินค้าถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ (Trade-weighted Average Bilateral Tariff Differentials) ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 6.98 กว่า เท่าตัว

[4] จะทบทวนในกรกฎาคม 2026 และอาจเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานของบริษัทในสหรัฐฯรวมทั้งมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดสงครามการค้าเต็มรูปแบบ

[5] ข้อตกลง USMCA มี 34 หมวด ควบคุมการค้ามูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 32 ล้านล้านบาท) ข้อตกลงมีอายุ 16 ปี และกำหนดให้มีการทบทวนทุก ๆ 6 ปี ในตอนแรก ดูเหมือนว่าแคนาดาอาจถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมข้อตกลงที่จะนำมาใช้แทนข้อตกลง NAFTA ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 1994 แต่มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงไม่นานมานี้

[6] How to Build a Strategy for Coming Trade Battles by David Garfield and Sudeep Suman Harvard Business Review January 8, 2025 Available at: https://hbr.org/2025/01/how-to-build-a-strategy-for-coming-trade-battles?utm_medium=email&utm_source=newsletter_daily&utm_campaign=dailyalert_&deliveryName=NL_DailyAlert_20250109

[7] ห้องที่ใช้สำหรับการประชุมของผู้บริหารหรือพนักงานตำแหน่งสำคัญเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาแบบองค์รวม โดย War Room ถูกใช้ครั้งแรกเมื่อปี 1901 เพื่อให้นายทหารระดับสูงใช้ร่วมประชุมวางแผนการรบในช่วงสงคราม ส่วนในยุคปัจจุบัน War Room ถูกใช้เพื่อการประชุมแก้ไขปัญหาและการสื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพภายในองค์กร 

Author Image

About Kim
Kim is a retired civil servant, specializing in intelligence analysis. He loves productivity hacks, minimalist workflows and CSI series.

No comments

Powered by Blogger.